หอบหืด 2

 

 

     มีข่าวดี๊ดีมาฝากคร้า… ดิฉันเชื่อว่าหลายท่านคงจะใช้โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนกันหมดแล้ว วันนี้ดิฉันจึงมีข่าวเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นดีๆมาฝากค่ะ  วันที่ 25 กันยายน 2558 ทางชมรมผู้ป่วยโรคหืด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ได้เปิดตัว
 “Asthma Care” แอพพลิเคชั่นฟรีบนมือถือ เพื่อผู้ป่วยโรคหืดครั้งแรกในไทย ที่รวมคำแนะนำในการดูแลญาติ-ผู้ป่วยโรคหืด ลดการเสียชีวิตจากการพ่นยาไม่ทันเวลา และพ่นยาผิดวิธี

 

     โดยงานนี้ มี รศ.นพ.จิตตินัดด์ หะวานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้แถลงการว่า ชมรมผู้ป่วยโรคหืดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้เปิดตัว “Asthma Care” (แอสท์ม่า แคร์) แอพพลิเคชั่นที่ให้บริการดาวน์โหลดฟรีบนอุปกรณ์มือถือ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหืด โดยแอพพลิเคชั่นดังกล่าว จะทำหน้าที่เสมือนเป็นพยาบาลส่วนตัว ช่วยให้คำแนะนำ วิธีการดูแลสุขภาพ การใช้ยา การพ่นยา และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย เมื่อเกิดอาการหอบ ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นแห่งแรกและแห่งเดียวในวงการแพทย์ของประเทศไทย

S__4579340

     แอพพลิเคชั่น Asthma Care จะช่วยให้ความรู้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืด ให้สามารถปฏิบัติตนและดูแลตนเองได้ อย่างถูกวิธีทั้งในเวลาปกติและเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้ โรคหืดเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากโรคภูมิแพ้ โดยทั่วไปจะมีอาการไอในตอนเช้าและตอนกลางคืน คัดจมูก น้ำมูกไหล ซึ่งปัจจุบันพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 จากประชากรทั้งหมดในประเทศไทย มีประชากรที่เป็นโรคหืดประมาณ 3 ล้านคน มีผู้ป่วยเสียชีวิตปีละเกือบ 1,000 คน ซึ่ง 2 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมด มักจะมีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ โดยส่วนใหญ่แล้วโรคหืดมักจะพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยจะเริ่มเป็นได้ตั้งแต่ 2-5 ขวบแรก และในผู้ใหญ่จะเริ่มประมาณ 30 ปีขึ้นไป

 

     ด้าน รศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล ประธานชมรมผู้ป่วยโรคหืด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคหืดเสียชีวิต คือ เมื่อมีอาการแล้วดูแลตัวเองไม่ได้ พ่นยาไม่ทัน จึงทำให้เสียชีวิต เพราะฉะนั้นทีมงานแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ จะสอนผู้ป่วยที่เป็นโรคหืด เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการเมื่อมีอาการหืดกำเริบ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า อาการหอบ เช่น เมื่อหอบแล้วต้องทำอย่างไร มีอาการขนาดไหนถึงต้องมาโรงพยาบาล ที่จำเป็นต้องสอนบ่อยๆ ซ้ำๆ เพราะผู้ป่วยจำไม่ได้ด้วยเหตุผลที่ว่า บางคนมีอาการหอบแค่ครั้งเดียวในหนึ่งปี เมื่อเกิดอาการขึ้นมา ไม่สามารถจำกระบวนการแก้ปัญหาช่วยเหลือตัวเองได้ ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา แพทย์จะให้แผ่นพับแก่ผู้ป่วยและญาติไปอ่าน แต่ผู้ป่วยมักจะทำแผ่นพับหาย ต่อมาสังเกตว่าในทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือในชีวิตประจำวัน จึงได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นโปรแกรมที่จะช่วยชีวิตสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้เมื่อหืดกำเริบ

Asthma Care   Asthma Care 2S__4579337

     ประธานชมรมผู้ป่วยโรคหืด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวต่อว่า Asthma Care เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานง่าย เมื่อผู้ป่วยมีอาการหอบเกิดขึ้นให้กดรูปรถพยาบาลก็จะมีวิธีการดูแล เมื่อเกิดอาการหอบว่าจะต้องดูแลตนเองอย่างไร รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน และขั้นตอนปฏิบัติที่เป็นสีเขียว สีเหลือง สีแดง โดยสีเขียวหมายถึงไม่หอบ สีเหลืองหมายถึงเริ่มหอบ ดูวิธีการดูแลเบื้องต้น และสีแดงหมายถึงเป็นหอบมาก จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลทันที รวมทั้งในส่วนอื่นๆ จะสอนเรื่องวิธีการพ่นยา การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น รวมถึงการประเมินตนเอง เพราะผู้ป่วยจะได้ทราบว่าในเดือนที่ผ่านมา หรือในปีที่ผ่านมา ตนเองหอบไปกี่ครั้ง เพื่อจะได้ให้ข้อมูลกับแพทย์ได้ถูกต้อง และมีผลต่อการวินิจฉัยของแพทย์ได้

S__4579338 S__4579339

     รศ.พญ.อรพรรณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้แพทย์ยังต้องการให้ผู้ป่วยพ่นยาทุกวันและมาพบแพทย์ตามนัด เพราะโรคหืดจำเป็นจะต้องใช้ยาทุกวันตลอดชีวิต โดยมีการตั้งค่าเตือน ว่าเมื่อใดต้องพ่นยา ตั้งเตือนการพบแพทย์ สามารถดูแลผู้ป่วยเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน และสามารถดูแลตัวเองในระยะยาวได้ จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น แอพพลิเคชั่นนี้จะเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหืดในอนาคตได้ และจะทำให้ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหืด ที่มีสาเหตุจากการที่ผู้ป่วยพ่นยาไม่ทันและพ่นยาผิดวิธีได้มาก

 

     สำหรับผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าวได้ฟรี!!!  ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยผู้ใช้สามารถหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง เช่น หืด หอบ ฉุกเฉิน ปอด การพ่นยา เป็นต้น จากนั้นก็จะปรากฏโปรแกรม Asthma Care ขึ้นมาให้สามารถดาวน์โหลดได้ ซึ่งขณะนี้สามารถใช้ในสมาร์ทโฟนที่เป็นระบบ iOS เท่านั้น และกำลังพัฒนาให้ใช้ได้กับระบบ Android ในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ครอบคลุมกับผู้ป่วยที่ใช้สมาร์ทโฟนในทุกรุ่น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ชมรมผู้ป่วยโรคหืดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ติดต่อ คุณพัชรา บุญญอนุชิต โทร. 0-2926-9973-4 ค่ะ

ข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์